หน้าเว็บ

a

หลักและวิธีการเขียนบทนำ


หลักและวิธีการเขียนบทนำ 
บทที่หนึ่งของเอกสารการวิจัยเป็นบทนำ เขียนเพื่อเสนอประเด็นปัญหาการวิจัยและการตีกรอบปัญหาการวิจัยให้ชัดเจน ประกอบด้วยความเป็นมาของปัญหาการวิจัยและความสำคัญ วัตถุประสงค์การวิจัย ขอบเจตการวิจัย สมมุติฐานการวิจัย คำนิยามศัพท์เฉพาะและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย 
1.ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย
        ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาเป็นหัวข้อแรกของบทนำ มีจุดประสงค์เพื่อบอกถึงปัญหาการวิจัยครั้งนี้ คือ อะไร
          1.1 รูปแบบการเขียน  ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัยเขียนให้ประกอบด้วย(ก)แนวคิดเชิงทฤษฎี(ข)สภาพปัจจุบัน(ค) ปัญหาที่เกิดขึ้นและ(ง)ความสำคัญของปัญหานั้น  
        ตัวอย่างเช่น
        ภาษาเป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้ แต่ในปัจจุบันนักเรียนยังอ่านหนังสือไม่ออก  ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาว่า นักเรียนมีความสามารถทางการอ่านในระดับใด เพื่อจะได้ใช้เป็นแนวทางในการแก้ไข  การวิจัยครั้งนี้จะทำให้ทราบระดับความสามารถในการอ่านของนักเรียนและจะเป็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรียนในโรงเรียนต่อไป
        จากตัวอย่างข้างบน สามารถวิเคราะห์ตามรูปแบบได้ดังนี้   
ความเป็นมาและความสำคัญ
ตัวอย่าง
หลักการหรือแนวคิด
ภาษาเป็นเครื่องมือในการศึกษาหาความรู้
สภาพปัจจุบัน
ปัจจุบันนักเรียนยังอ่านหนังสือไม่ออก
ปัญหาที่เกิดขึ้น
นักเรียนมีความสามารถทางการอ่านในระดับใด
ความสำคัญของปัญหา
ทราบระดับความสามารถในการอ่านของนักเรียน
เป็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน

          1.2 หลักการเขียน  การเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัยมีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก) เขียนจากแนวกว้างไปสู่แคบจนถึงปัญหาการวิจัย
(ข) ระบุปัญหาการวิจัยในรูปคำถามหรือประโยคบอกเล่าก็ได้
 (ค) เขียนให้มีการอ้างอิงข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้า
 (ง) เขียนให้เห็นความสำคัญเชิงประโยชน์หรือเชิงโทษที่จะได้รับ
 (จ) เขียนความยาวประมาณ 3-5 กระดาษ

2.วัตถุประสงค์การวิจัย
        วัตถุประสงค์ของการวิจัยเป็นหัวที่สองของบทนำ มีจุดประสงค์เพื่อบ่งบอกถึงคำถามที่ต้องการได้คำตอบตามปัญหาการวิจัยครั้งนี้ คือ อะไรบ้าง
2.1 รูปแบบการเขียน วัตถุประสงค์ของการวิจัยเขียนให้ประกอบด้วยวิธีศึกษา
ประเด็นย่อยในประเด็นหลักหลักและขอบเขตประชากร พื้นที่หรือเวลา  
ตัวอย่างเช่น 
 การวิจัยเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการเรียนกับผลการ
สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548  นักวิจัยสามารถเขียนวัตถุประสงค์การวิจัยได้ดังนี้ 
(ก)เพื่อศึกษาปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548
(ข).เพื่อศึกษาผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548
(ค).เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548  

จากตัวอย่างข้างบน สามารถวิเคราะห์ตามรูปแบบได้ดังนี้
ชื่อเรื่อง 
วัตถุประสงค์
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548

1.เพื่อศึกษาปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ
2.เพื่อศึกษาผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ
3.เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ

2.2  หลักการเขียน การเขียนวัตถุประสงค์การวิจัยมีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก) เขียนเป็นข้อๆประมาณ 3-5 ข้อ
(ข) เขียนให้อยู่ในกรอบของชื่อเรื่องการวิจัย
(ค) เขียนให้ขึ้นต้นด้วยคำว่า เพื่อ....
(ง)  อาจเขียนในรูปประโยคคำถามได้

3.สมมุติฐานการวิจัย   
        สมมุติฐานการวิจัยเป็นหัวที่สามของบทนำ มีจุดประสงค์เพื่อเสนอคำตอบของคำถามการวิจัยที่แสดงไว้ในหัวข้อวัตถุประสงค์ของการวิจัย
3.1 .รูปแบบการเขียน สมมุติฐานการวิจัยเขียนให้เป็นคำตอบของวัตถุประสงค์หรือคำถามการวิจัย   
ตัวอย่างเช่น
 การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลการเจริญเติบโตของต้นถั่วลิสงจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์กับปุ๋ยเคมี นักวิจัยได้เสนอสมมุติฐานการวิจัยได้ดังนี้
1. ต้นถั่วลิสงที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์มีความสูง  1.59 ฟุต
2. ต้นถั่วลิสงที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีมีความสูง  1.94 ฟุต
3. ต้นถั่วลิสงที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์สูงกว่าที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมี

  จากตัวอย่างข้างบน สามารถวิเคราะห์ตามรูปแบบได้ดังนี้
วัตถุประสงค์การวิจัย
   สมมุติฐานการวิจัย
1.เพื่อศึกษาความสูงของต้นถั่วลิสงที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์
2.เพื่อศึกษาความสูงของต้นถั่วลิสงที่ใช้ปุ๋ยเคมี
3.เพื่อศึกษาความสูงของต้นถั่วลิสงจากการใช้ปุ๋ย2 ชนิด
1.ต้นถั่วลิสงที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์มีความสูง  1.59 ฟุต
2.ต้นถั่วลิสงที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีมีความสูง  1.94 ฟุต

3.ต้นถั่วลิสงที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์สูงกว่าต้นถั่วลิสงที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมี

3.2 หลักการเขียน  การเขียนสมมุติฐานการวิจัยมีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก) เขียนเป็นข้อๆประมาณ 3-5 ข้อ
(ข) เขียนให้สอดคล้องและเป็นคำตอบของวัตถุประสงค์การวิจัย  
(ค) เขียนให้มีทิศทางที่สามารถทดสอบได้ด้วยข้อมูลจากการวิจัย
(ง) เขียนให้ชัดตรวจสอบได้ ไม่ใช้คำว่า ประมาณ  

4.ขอบเขตการวิจัย
        ขอบเขตการวิจัยของการวิจัยเป็นหัวที่สี่ของบทนำ มีจุดประสงค์เพื่อกำหนดขอบเขตของการวิจัยครั้งนี้ให้จำเพาะเจาะจง ว่าสิ่งใดต้องการวิจัยและสิ่งใดที่ไม่ต้องการวิจัย
4.1 .รูปแบบการเขียน ขอบเขตการวิจัยเขียนให้ประกอบด้วย 5 เรื่อง คือขอบเขตเกี่ยวกับประเด็นหลักในชื่อเรื่อง ขอบเขตเกี่ยวกับประชากรในการวิจัย .ขอบเขตเกี่ยวกับพื้นที่ที่ใช้วิจัย  .ขอบเขตเกี่ยวกับเวลาที่ทำวิจัย และขอบเขตเกี่ยวกับตัวแปร 
ตัวอย่างเช่น  การวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์ผลตอบแทนของการปลูกแตงโมนอกฤดูกาล นักวิจัยได้เขียนขอบเขตการวิจัยไว้ดังนี้ 
(ก.การวิจัยนี้ศึกษาต้นทุน รายได้และผลตอบแทนของการปลูกแตงโมนอกฤดูกาลเฉพาะประเภทที่คิดได้เป็นตัวเงินเท่านั้น ทั้งนี้ไม่ศึกษาถึงผลตอบแทนการปลูกแตงโมในฤดูกาล 
(ข)การวิจัยครั้งนี้ศึกษากับแตงโมพันธุ์จินตหลาและพันธุ์บอมเบย์จากเมล็ดพันธุ์ที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำพันธุ์ให้เกษตรกรปลูกเท่านั้น ไม่รวมถึงแตงโมพันธุ์พื้นเมืองหรือพันธุ์อื่น

(ค).การทดลองปลูกแตงโมดำเนินการที่จังหวัดราชบุรี ครอบคลุมพื้นที่ 3
อำเภอ คืออำเภอจอมบึง อำเภอสวนผึ้ง และอำเภอบ้านโป่ง
(ง).การวิจัยนี้ดำเนินการทดลองปลูกแตงโมนอกฤดูกาล ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน ปี พ.ศ.2546
(จ).ในการวิจัยมีตัวแปรต้น ได้แก่  ฤดูกาล และตัวแปรตามได้แก่ ผลตอบแทนในการปลูกแตงโม

จากตัวอย่างข้างบน สามารถวิเคราะห์ตามรูปแบบได้ดังนี้
 ชื่อเรื่องและขอบเขต
การวิเคราะห์ผลตอบแทนของการปลูกแตงโมนอกฤดูกาล
 ด้านเนื้อหา
ผลตอบแทน ต้นทุน รายได้
 ด้านประชากร
พันธุ์จินตหลาและพันธุ์บอมเบย์
 ด้านพื้นที่
จังหวัดราชบุรี
 ด้านเวลา
ปี พ.ศ.2546
 ด้านตัวแปร
ตัวแปรต้น   ฤดูกาล
ตัวแปรตาม  ผลตอบแทน

4.2 หลักการเขียน  การเขียนขอบเขตการวิจัยมีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก) เขียนเป็นข้อๆหรืออาจเขียนพรรณนาก็ได้
(ข) เขียนให้ขยายความขอบเขตที่ระบุไว้ในชื่อเรื่องการวิจัย
(ค) เขียนโดยใช้คำที่แสดงถึงขอบเขต เช่น คำว่า ศึกษาเฉพาะ
      ’ครอบคลุมถึงหรือ ไม่รวมถึงหรือจบด้วยเท่านั้น

5.คำนิยามศัพท์เฉพาะ
        คำนิยามศัพท์เฉพาะเป็นหัวที่หกของบทนำ มีจุดประสงค์เพื่อสื่อสารคำและข้อความที่ใช้ในการวิจัยนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน ทำให้เกิดความชัดเจนในต่างๆ
5.1 รูปแบบการเขียน  คำนิยามศัพท์เฉพาะเขียนให้เป็นนิยามปฏิบัติการของตัว
แปรที่สังเกต วัดและประเมินได้ โดยนิยามปฏิบัติการ   
ตัวอย่างเช่น  การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลการเจริญเติบโตของต้นถั่วลิสง
 จากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์กับปุ๋ยเคมี นักวิจัยเขียนนิยามคำศัพท์สำคัญดังนี้
1.การเจริญเติบโตของพืช หมายถึง ความสูงของต้นถั่วจากพื้นดินถึงปลายยอด
2.ปุ๋ยอินทรีย์ หมายถึง ปุ๋ยที่ผลิตชึ้นจากผลิตถัณฑ์ของพืชหรือสัตว์
        3.ปุ๋ยเคมี หมายถึง ปุ๋ยที่ผลิตขึ้นโดยดระบวนการทางอุตสาหกรรม

จากตัวอย่างข้างบน สามารถวิเคราะห์ตามรูปแบบได้ดังนี้
วัตถุประสงค์การวิจัย
  นิยามคำเฉพาะศัพท์
1.เพื่อศึกษาความสูงของต้นถั่วลิสงที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์
2.เพื่อศึกษาความสูงของต้นถั่วลิสงที่ใช้ปุ๋ยเคมี

3.เพื่อศึกษาความสูงของต้นถั่วลิสงจากการใช้ปุ๋ย2 ชนิด
1.การเจริญเติบโตของพืช หมายถึง ความสูงของต้นถั่วจากพื้นดินถึงปลายยอด
2.ปุ๋ยอินทรีย์ หมายถึง ปุ๋ยที่ผลิตชึ้นจากผลิตภัณฑ์ของพืชหรือสัตว์
3.ปุ๋ยเคมี หมายถึง ปุ๋ยที่ผลิตขึ้นโดยกระบวนการทางอุตสาหกรรม

5.2 หลักการเขียน การเขียนคำนิยามศัพท์มีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก) เขียนให้สอดคล้องกับแนวความคิดทางทฤษฎี
(ข) เขียนตามให้เป็นนิยามปฏิบัติการที่สังเกตหรือวัดได้ 
(ค) เขียนให้ชี้นำไปสู่การวัดค่าตัวแปรได้ 

6.ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
        ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับของการวิจัยเป็นหัวสุดท้ายของบทนำ มีจุดประสงค์เพื่อเสนอแนวทางให้เห็นผลผลิตของการวิจัยและประโยชน์ที่เกิดจากการนำผลผลิตไปใช้งาน 
        6.1 รูปแบบการเขียน  ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับเขียนให้ประกอบด้วยผลผลิตและประโยชน์
        ตัวอย่างเช่น  การวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์ผลตอบแทนของการปลูกแตงโมนอกฤดูกาล นักวิจัยเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับของการวิจัย ดังนี้ 
(ก)ได้ทราบผลตอบแทนของการปลูกแตงโมนอกฤดูกาล
(ข).เป็นแนวทางในการส่งเสริมอาชีพและเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรใน
อนาคต

จากตัวอย่างข้างบน สามารถวิเคราะห์ตามรูปแบบได้ดังนี้
 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ตัวอย่าง
 ผลผลิต
ได้ทราบผลตอบแทน
 ประโยชน์
เป็นแนวทางในการส่งเสริม

6.2  หลักการเขียน การเขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับมีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก) เขียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
(ข) เขียนให้สอดคล้องกับความสำคัญของปัญหาการวิจัย
------------------------------------------------------------------------------------------------